ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นเกือบ 200 จุดในวันนี้ โดยปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 3 หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เปิดเผยว่า เขาได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เพื่อแก้ไขความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งการหารือดังกล่าวเป็นไปด้วยดี
นอกจากนี้ ดัชนีดาวโจนส์ยังดีดตัวขึ้นขานรับการเปิดเผยผลประกอบการที่สดใสของบริษัทดาวดูปองท์ และซิกนา
นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทแอปเปิล อิงค์ ซึ่งจะมีการเปิดเผยหลังจากปิดตลาดวันนี้
ณ เวลา 21.59 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 25,286.31 จุด เพิ่มขึ้น 170.55 จุด หรือ 0.68%
ปธน.ทรัมป์ทวีตข้อความในวันนี้ ระบุว่า “ผมเพิ่งมีการสนทนาที่ใช้เวลานาน และเป็นไปอย่างดีมากกับท่านประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน เราได้คุยกันในหลายประเด็น โดยเน้นหนักทางด้านการค้า ซึ่งการหารือดังกล่าวเป็นไปด้วยดี โดยเรามีกำหนดพบปะกันในการประชุม G20 ที่อาร์เจนตินา และเรายังมีการหารือกันเป็นอย่างดีเกี่ยวกับเกาหลีเหนือ” ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์มีกำหนดพบปะกับปธน.สี จิ้นผิงนอกรอบการประชุม G20 ที่กรุงบัวโนสไอเรสของอาร์เจนตินาในเดือนหน้า ขณะที่การประชุม G20 มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค.
ปธน.ทรัมป์กล่าววานนี้ว่า เขาคิดว่าสหรัฐจะสามารถทำข้อตกลงทางการค้าครั้งใหญ่กับจีน แต่เขาก็เตือนว่าสหรัฐพร้อมที่จะเรียกเก็บภาษีรอบใหม่ต่อสินค้าจีนวงเงิน 2.67 แสนล้านดอลลาร์ หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับจีน
ขณะนี้ สหรัฐได้เรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนในวงเงิน 2.50 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐในวงเงิน 1.10 แสนล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนรอบใหม่ในวงเงิน 2.67 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มเติมจากที่เรียกเก็บภาษีสินค้าวงเงิน 2.50 แสนล้านดอลลาร์ก่อนหน้านี้ ก็เท่ากับว่าสหรัฐได้เรียกเก็บภาษีต่อสินค้าทั้งหมดทุกรายการที่จีนส่งเข้าไปยังสหรัฐ โดยข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า จีนได้ส่งออกสินค้าวงเงิน 5.05 แสนล้านดอลลาร์เข้าสู่สหรัฐในปีที่แล้ว
ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นรวมกว่า 650 จุดในการซื้อขาย 2 วันในวันอังคารและวันพุธ แต่เมื่อพิจารณาทั้งเดือนต.ค. ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลง 5.1% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2559
ตลาดจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันพรุ่งนี้ โดยผลการสำรวจนักวิเคราะห์ระบุว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 190,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. โดยจะต่ำกว่าระดับ 201,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นระดับเฉลี่ยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และคาดว่าอัตราการว่างงานจะยังคงอยู่ที่ระดับ 3.7% ในเดือนต.ค.
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยในวันนี้ว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 2,000 ราย สู่ระดับ 214,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ใกล้ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2512 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 213,000 ราย
ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 1,750 ราย สู่ระดับ 213,750 รายในสัปดาห์ที่แล้ว
สำหรับจำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 20 ต.ค. มีจำนวนลดลง 7,000 ราย สู่ระดับ 1.63 ล้านราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2516
ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานอย่างต่อเนื่อง ลดลง 6,250 ราย สู่ระดับ 1.64 ล้านราย
ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2516
ทางด้านสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของ ISM ร่วงลง 2.1% สู่ระดับ 57.7 ในเดือนต.ค. โดยต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 59.0 หลังจากแตะระดับ 59.8 ในเดือนก.ย.
การปรับตัวลงของดัชนี ISM ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อใหม่, การจ้างงาน, การบริโภค, การผลิต และสินค้าคงคลัง
อย่างไรก็ดี ดัชนียังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ภาวะขยายตัวของภาคการผลิตของสหรัฐ โดยดัชนีอยู่เหนือระดับ 50 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 114
ข้อมูลภาคการผลิตของ ISM สวนทางกับไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) สำหรับภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 55.7 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน จากระดับ 55.6 ในเดือนก.ย.
การปรับตัวขึ้นของดัชนี PMI ได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่แตะระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน ขณะที่การจ้างงานแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน และความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบ 12 เดือนที่ทำไว้ในเดือนก.ย.