In Focus: เก็บตกการประชุม “ไบเดน-สี จิ้นผิง” ส่งสัญญาณดีหรือยังไม่ควรวางใจ
ปิดฉากลงแล้วเมื่อวานนี้กับการประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ทั้งสองใช้เวลาในการประชุมประมาณ 4 ชั่วโมง โดยได้หารือกันในหลายประเด็น ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐ ประเด็นไต้หวัน และประเด็นสิทธิมนุษยชน
การประชุมทางไกลครั้งประวัติศาสตร์นี้ นอกเหนือจากปธน.สีแล้ว ยังมีนายหวัง อี้ รมว.ต่างประเทศ และนายเซียะ เฟิง รมช.ต่างประเทศของจีนเข้าร่วมด้วย ส่วนทางฝั่งสหรัฐนั้น มีนางเจเน็ต เยลเลน รมว.คลัง, นายแอนโทนี บลินเคน รมว.ต่างประเทศ และนายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐเข้าร่วมการประชุม
การประชุมดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนเกี่ยวกับประเด็นการค้า การโจมตีทางไซเบอร์ รวมทั้งประเด็นการเมือง โดยจีนไม่พอใจที่สหรัฐให้การสนับสนุนไต้หวัน ขณะที่สหรัฐคัดค้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนของจีนต่อชาวอุยกูร์ในมณฑลซินเจียง การปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมสนับสนุนประชาธิปไตยในฮ่องกง รวมถึงการแผ่อิทธิพลของจีนในทะเลจีนใต้
เกิดอะไรขึ้นบ้างในการประชุมนี้
ในการประชุมทางไกลครั้งนี้ ปธน.ไบเดนเป็นผู้กล่าวเปิดการประชุม โดยกล่าวว่า “ในฐานะผู้นำประเทศ ผมมองว่าเรามีความรับผิดชอบในการสร้างความเชื่อมั่นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐจะไม่พลิกผันไปสู่ความขัดแย้ง ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม พูดง่าย ๆ ก็คือ การแข่งขันระหว่างสองประเทศควรทำอย่างตรงไปตรงมา”
ทางด้านปธน.สี จิ้นผิงกล่าวโดยมีล่ามแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “ผมยินดีที่ได้พบท่านประธานาธิบดีสหรัฐ นี่เป็นครั้งแรกที่เราพบกันผ่านการประชุมทางไกล แม้ว่าบรรยากาศจะไม่ดีเท่ากับการประชุมแบบพบหน้ากัน แต่ผมก็มีความสุขมากที่ได้พบเพื่อนเก่า”
อย่างไรก็ดี แม้บรรยากาศในการเจรจาในภาพรวมค่อนข้างราบรื่นและเป็นมิตร แต่ในประเด็นทางการเมืองก็มีความคุกรุ่นอยู่บ้าง เมื่อปธน.ไบเดนกล่าวกับปธน.สีว่า สหรัฐ “ต่อต้าน” ความพยายามที่จะบ่อนทำลายสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน พร้อมกับแสดงความกังวลเกี่ยวกับการที่จีนละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชนด้วยการกดขี่ข่มเหงชาวอุยกูร์ในมณฑลซินเจียง รวมทั้งการที่จีนกวาดล้างผู้สนับสนุนประชาธิปไตยในฮ่องกง ขณะเดียวกันปธน.ไบเดนได้ให้คำมั่นว่า สหรัฐจะผลักดันเสรีภาพและการเปิดกว้างในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกให้มีความคืบหน้ามากขึ้น
ปธน.ไบเดนกล่าวกับปธน.สีว่า สำหรับประเด็นไต้หวันนั้น สหรัฐยังคงยึดมั่นใน “นโยบายจีนเดียว” ขณะที่ปธน.สีกล่าวตอบปธน.ไบเดนทันทีว่า จีนจำเป็นต้องใช้มาตรการเชิงรุก หากพบว่ามีกองกำลังสนับสนุนการแยกตัวเป็นเอกราชของไต้หวันกำลังก้าวก่ายกิจการภายในของจีน
ในประเด็นนี้ ปธน.ไบเดนยืนยันว่า สหรัฐไม่ได้สนับสนุนการเป็นเอกราชของไต้หวัน และแสดงความคาดหวังที่จะเห็นสันติภาพและเสถียรภาพเกิดขึ้นในช่องแคบไต้หวัน ขณะเดียวกันปธน.ไบเดนย้ำว่า สหรัฐไม่มีความประสงค์ที่จะมีข้อขัดแย้งกับจีน และสหรัฐจะไม่หาทางเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองของจีน พร้อมระบุว่า นโยบายการสนับสนุนพันธมิตรของสหรัฐนั้น ไม่ใช่การต่อต้านจีน
ทางด้านปธน.สีกล่าวว่า ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีนและสหรัฐนั้น โดยธรรมชาติแล้วถือว่าเป็นประโยชน์ร่วมกัน พร้อมระบุว่า ประเด็นเศรษฐกิจและการค้าระหว่างสองประเทศไม่ควรถูกนำมาขยายผลเป็นประเด็นทางการเมือง และทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องร่วมมือกันมากขึ้น
ในช่วงท้ายของการสนทนา ปธน.สีได้เปรียบเทียบจีนและสหรัฐเหมือนกับเรือยักษ์ 2 ลำที่ล่องอยู่ในมหาสมุทร โดยกล่าวว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่เรือของทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องทรงตัวให้ดี เพื่อที่เรือใหญ่ทั้ง 2 ลำนี้จะสามารถฟันฝ่าคลื่นยักษ์และเดินทางไปข้างหน้าด้วยกันโดยไม่หลงทางหรือสูญเสียความเร็ว นอกจากนี้ เรือทั้ง 2 ลำจะปะทะกันน้อยลงด้วย
สัญญาณดีในความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการหลายรายเชื่อว่า การประชุมนี้เป็นจุดเริ่มต้นอันดีซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของสหรัฐกับจีนมาถูกทางแล้ว
ความคืบหน้าดังกล่าวมีความสำคัญมากทั้งกับสหรัฐและจีนเอง และกับทั้งโลก เนื่องจากโลกกำลังเผชิญกับปัญหาท้าทายมากมาย ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือทั้งจากสหรัฐและจีน ไม่ว่าจะในเรื่องการขาดแคลนอาหาร ปัญหาโลกร้อน และความเสี่ยงทางสาธารณสุข
ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า โลกหวังที่จะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีนที่ราบรื่นและเหนียวแน่นยิ่งขึ้น ให้ทั้งโลกร่วมมือร่วมใจกันได้อย่างกลมเกลียวเพื่อประโยชน์ต่อมนุษยชาติ โดยสองชาติมหาอำนาจของโลกอย่างสหรัฐและจีนกำลังแบกรับความหวังของคนทั้งโลกเอาไว้ ซึ่งโลกจะก้าวต่อไปได้เมื่อสองประเทศนี้สามัคคีกันเท่านั้น
“ชื่นมื่น” แต่ไม่มีความคืบหน้าเป็นรูปธรรม
บรรยากาศการเจรจาของผู้นำสหรัฐและจีนเป็นไปอย่างราบรื่นและฉันมิตร โดยทั้งสองต่างยืนยันที่จะร่วมมือกันเพื่อให้เกิดสันติภาพและการพัฒนาทั่วโลก
อย่างไรก็ดี การเคลียร์ใจครั้งประวัติศาสตร์นี้กลับไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร โดยไม่ได้มีการส่งสัญญาณที่เป็นรูปธรรม แถมยังมีการออกแถลงการณ์ในภายหลังที่ดูจะตอกย้ำเรื่องเดิม ๆ ที่ทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกันอยู่แล้ว
แถลงการณ์จากทำเนียบขาวซึ่งเผยแพร่หลังการประชุมสิ้นสุดลง ระบุว่า ปธน.ไบเดน มีความกังวลในประเด็นสิทธิมนุษยชน รวมถึงนโยบายเศรษฐกิจและการค้าของจีนซึ่งสหรัฐมองว่าไม่ยุติธรรม ขณะที่แถลงการณ์จากทางการจีนก็โต้กลับในประเด็นไต้หวันว่า การที่สหรัฐสนับสนุนไต้หวันนั้นเหมือนกับการ “เล่นกับไฟ” พร้อมเตือนว่า การที่สหรัฐจับมือกับประเทศเพื่อนบ้านของจีนเพื่อคานอิทธิพลของจีนนั้นจะทำให้โลกเผชิญกับความหายนะ
นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของสหรัฐ เปิดเผยหลังการประชุมว่า ทั้งสองประเทศจะติดต่อสื่อสารอย่างเข้มข้นมากขึ้นภายหลังจากนี้ โดยปธน.ไบเดนและปธน.สีได้พูดคุยกันอย่างชัดเจนในประเด็นขัดแย้งต่าง ๆ เพื่อไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้าใจผิดจนถึงขั้นต้องขัดแย้งกัน ส่วนประเด็นที่ทั้งสองประเทศดูน่าจะร่วมมือกันได้นั้นคือประเด็นเกาหลีเหนือ ซึ่งหลัง ๆ นี้ได้ออกมาทดสอบขีปนาวุธหลายครั้งจนทำให้เกิดความกังวล แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไปว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่
ความเปราะบางใต้รอยยิ้มนักการทูต
สิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้แน่ ๆ คือ ไม่ว่าสหรัฐและจีนจะจัดการประชุมระดับผู้นำประเทศอีกกี่ครั้ง ก็ไม่มีมีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ เพราะปัญหาของสหรัฐกับจีนนั้นฝังรากลึก ไม่ได้เป็นปัญหาที่ปรากฏตามรายงานข่าว
นายเดวิด ลิฟวิงสโตน อดีตนักการทูตออสเตรเลีย ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ ได้วิเคราะห์ในบทความที่เขียนให้กับหนังสือพิมพ์ซิดนีย์ มอร์นิง เฮอรัลด์ ของออสเตรเลียว่า ความตึงเครียดระหว่างผู้นำทั้งสองนั้นไม่ใช่เรื่องภาษี สิทธิมนุษยชน หรือแม้แต่ปัญหาเกี่ยวกับไต้หวัน เพราะประเด็นเหล่านี้เป็นเรื่องที่เจรจากันได้
ปัญหาแท้จริงที่อยู่เบื้องหลังความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศนั้นอยู่นอกเหนืออำนาจของรัฐบาล ไม่ว่าจะรัฐบาลสหรัฐหรือรัฐบาลจีน ซึ่งก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าจีนอาจมีอำนาจมหาศาลจนครองโลกทั้งใบได้ โดยปธน.สีมีความเชื่อแบบนั้น ขณะที่ปธน.ไบเดนเองก็หวั่น ๆ ว่าสิ่งนี้อาจเกิดขึ้นจริง
ผู้เชี่ยวชาญรายนี้มองว่า การประชุมที่ผ่านมานี้สะท้อนความเปราะบางดังกล่าวได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยปธน.ไบเดน ผู้นำประเทศที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกทั้งในแง่เศรษฐกิจและกองทัพ ได้พูดคุยกับผู้นำจีนด้วยความมั่นใจในฐานะผู้ที่คุ้นเคยกับความพิเศษของอเมริกันชนมาโดยตลอด ทว่าตอนนี้ยุคสมัยเริ่มเปลี่ยนไป ความเชื่อมั่นที่ว่านี้เริ่มสั่นคลอนลงเมื่อต้องมาพบหน้ากับประเทศที่มีศักยภาพมากพอจะมาแทนที่สหรัฐได้อย่างจีน ซึ่งเป็นเรื่องที่ชาวอเมริกันไม่คุ้นชินและสร้างความหวาดวิตก
ด้วยเหตุนี้ ปธน.ไบเดนจึงแทบไม่ได้แตะมาตรการสกัดกั้นอิทธิพลทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีจากจีนซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยปธน.ทรัมป์เลย ไม่เหมือนกับนโยบายส่วนอื่น ๆ ที่ปธน.ไบเดนยกเลิกแทบจะทันทีที่เข้ามาดำรงตำแหน่ง ส่วนความนิยมของปธน.ไบเดนในสายตาชาวสหรัฐเองก็ลดลงเรื่อย ๆ ทว่าในฝั่งของปธน.สีกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดล่าสุดจากการที่จีนเพิ่งผ่านมติประวัติศาสตร์ ปูทางสี จิ้นผิง ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีตลอดชีวิต
แม้การประชุมนี้ดูจะมีเรื่องต่าง ๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่มาก แต่ท่าทีและข้อความในทางบวกที่ปรากฏให้เห็นออกมาจากผู้นำทั้งสองนั้นก็นับเป็นตัวอย่างที่ดีให้ประเทศอื่นได้ปฏิบัติตาม เพื่อส่งเสริมให้ทุกฝ่ายหันหน้าคุยกันมากกว่าปิดหน้าสู้ โดยหวังว่าทั้งสองประเทศจะเลือกพูดคุยเคลียร์ใจกันแบบนี้อีกเมื่อมีข้อพิพาทกัน เพราะความสัมพันธ์ของสหรัฐกับจีนไม่ได้เป็นเรื่องที่จำกัดอยู่แค่สองประเทศอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเรื่องที่กระทบต่อทั้งโลก
จากแหล่งข่าว สำนักข่าวอินโฟเควสท์