ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 0.50% ในการประชุมวันนี้ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายดังกล่าวถือเป็นการขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือนเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งสูงสุดในรอบ 30 ปี และเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 2 ครั้งติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2547
ก่อนหน้านี้ BoE มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 0.25% ในการประชุมเดือนธ.ค.2564 จากระดับ 0.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้ BoE เป็นธนาคารกลางขนาดใหญ่แห่งแรกของโลกที่ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงต้นปี 2563
สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 5.4% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 30 ปี และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 5.2% หลังจากดีดตัวขึ้น 5.1% ในเดือนพ.ย.
ดัชนี CPI ดังกล่าวสูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อ 2% ที่ BoE กำหนดไว้กว่า 2 เท่า
นอกจากนี้ BoE ยังคาดการณ์ในวันนี้ว่า อัตราเงินเฟ้อในอังกฤษจะแตะระดับสูงสุดที่ 7.25% ในเดือนเม.ย.
ขณะเดียวกัน BoE มีมติเอกฉันท์ให้ลดขนาดงบดุลจากวงเงิน 8.95 แสนล้านปอนด์ โดยจะปล่อยให้พันธบัตรที่ซื้อมาก่อนหน้านี้ภายใต้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หมดอายุลงโดยไม่มีการนำรายได้ดังกล่าวมาลงทุนซื้อพันธบัตรใหม่
แหล่งที่มาของข่าว