รัฐบาลจีนเรียกทูตสหรัฐและแคนาดาเข้าพบ หลัง CFO ของ Huawei ขึ้นให้การในศาลแคนาดา – Le Yucheng หรือ เล่อ ยูเฉิง รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการต่างประเทศของรัฐบาลจีน ได้เรียกทูตของสหรัฐและแคนาดาเข้าพบ กรณีของ CFO ของยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมจีน หัวเว่ย โดนจับที่ประเทศแคนาดาตามคำร้องขอของสหรัฐฯ เนื่องจากหัวเว่ย ทำผิดกฏกรณีละเมิดกฏหมายของสหรัฐ กรณีการคว่ำบาตรประเทศอิหร่าน
รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการต่างประเทศของรัฐบาลจีนระบุว่าจีนอาจใช้มาตรการเพิ่มเติม ถ้าหากสหรัฐไม่ยอมปล่อยตัวผู้บริหารของหัวเว่ย ซึ่งในกรณีของผู้บริหารระดับสูงของหัวเว่ยโดนจับครั้งนี้ ทำให้รัฐบาลจีนหัวเสียในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
ขณะที่ Meng Wanzhou หรือ เหมิง หวันโจว เธอได้ขอยื่นประกันตัวกับศาลแคนาดาโดยใช้อสังหาริมทรัพย์ในประเทศแคนาดารวมไปถึงปัญหาสุขภาพของเธอ ทางการแคนาดาจะเปิดไต่สวนกรณีนี้อีกครั้งในคืนนี้ (วันที่ 10 ธันวาคม)
นอกจากนี้ South China Morning Post ยังรายงานว่า เหมิง มีพาสปอร์ตถึง 7 เล่มด้วยกัน โดยมี 4 เล่มของประเทศจีน และ 3 เล่มจากเขตปกครองพิเศษฮ่องกง (โดย 1 เล่ม SCMP กล่าวว่าหมดอายุไปแล้ว) ซึ่งสร้างความสงสัยให้กับคดีนี้มากยิ่งขึ้น
สาเหตุที่โดนจับ
หลังจากที่สื่อทั่วโลกคาดเดาว่าการที่ผู้บริหารของหัวเว่ยโดนจับ ว่าอาจเกี่ยวกับกรณีสหรัฐคว่ำบาตรประเทศต่างๆ อย่างไรก็ดีล่าสุด ประเด็นสำคัญที่ เหมิง หวันโจว โดนจับคือการที่หัวเว่ยนำบริษัทลูกชื่อว่า Skycom ทำธุรกรรมอำพราง เพื่อที่จะขายสินค้าโทรคมนาคมกับประเทศอิหร่านในปี 2013
แม้ว่า HSBC สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่จะสอบถามว่าธุรกรรมดังกล่าวกับ เหมิง ว่าธุรกรรมดังกล่าวเกี่ยวข้องกับหัวเว่ยหรือไม่ แต่เธอได้ยืนยันว่า Skycom เป็นบริษัทคู่ค้าตามปกติ ซึ่งในการสอบสวนในชั้นศาล Skycom ถือว่าเป็นบริษัทลูกทางอ้อมของหัวเว่ย เพราะว่าพนักงานของ Skycom เองเป็นพนักงานของหัวเว่ย และมีอีเมล์ของหัวเว่ยใช้ด้วย
สำหรับข่าวการจับกุมเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาถึงออกมาเป็นข่าวเป็นเพราะว่า เหมิง ได้ขอให้ไม่มีการเปิดเผยการจับกุมกับศาลประเทศแคนาดา แต่ศาลได้ถอนคำร้องเรื่องนี้ และโทษความผิดของเหมิง ถ้าหากส่งตัวไปดำเนินคดีในสหรัฐฯ อาจมีโทษสูงสุดคือจำคุก 30 ปี
ญี่ปุ่นและยุโรปเตรียมแบนด้วย
ล่าสุดประเทศญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศที่เตรียมจะแบนไม่ให้บริษัทผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมจากจีนเข้าร่วมในการจัดซื้อของรัฐบาล เนื่องจากญี่ปุ่นกังวลในเรื่องของความปลอดภัยเป็นอย่างมากในช่วงหลัง ซึ่งทำให้บริษัทจากจีนไม่สามารถเข้าร่วมการประมูลในการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของรัฐได้
ไม่เพียงแค่นั้น ทวีปยุโรปก็เริ่มที่จะระแวงกับสัดส่วนทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นของหัวเว่ยเช่นกัน โดยข้อมูลล่าสุดจาก IHS Markit ทางหัวเว่ยครองส่วนแบ่งตลาดอุปกรณ์โทรคมนาคมในปัจจุบันมากถึง 40% และถ้าหากรวมของ ZTE หรือ ซีทีอี เข้าไปด้วย จะกลายเป็นว่าสัดส่วนทางการตลาดตกเป็นของบริษัทจีนมากกว่าครึ่งหนึ่งไปแล้ว ทิ้งห่างบริษัทในยุโรปอย่างโนเกียรวมไปถึงอีริคสันด้วย
โดย Wattanapong Jaiwat
Source: Brandinside.asia
https://brandinside.asia/update-huawei-cfo-arrested-at-can…/
**********************
จีนเรียกทูตสหรัฐฯ ประจำปักกิ่งมาตำหนิกรณีอเมริกาสั่งจับซีเอฟโอหัวเหว่ย : จีนเรียกทูตสหรัฐฯ ประจำปักกิ่งมาตำหนิกรณีอเมริกาสั่งจับซีเอฟโอหัวเหว่ย
กระทรวงการต่างประเทศของจีนเรียกทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงปักกิ่งเข้าพบในวันอาทิตย์ เพื่อแสดง “การประท้วงอย่างรุนแรง” ต่อการจับกุมตัว เมิ่ง ว่านจู ผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีจีน Huawei Technologies และกล่าวด้วยว่าสหรัฐฯ ควรยกเลิกหมายจับสตรีคนดังกล่าว
เมิ่ง ว่านจู (Meng Wanzhou) ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการเงินหรือซีเอฟโอของ Huawei ถูกจับกุมตัวเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม โดยเจ้าหน้าที่แคนาดาตามคำขอของรัฐบาลอเมริกัน
เธออาจถูกส่งตัวมาดำเนินคดีในสหรัฐฯ เนื่องจากรัฐบาลอเมริกันกล่าวหา เมิ่ง ว่านจู ว่าได้ปกปิดความเชื่อมโยงของหัวเหว่ยกับบริษัทหนึ่ง ที่ขายอุปกรณ์เทคโนโลยีให้กับอิหร่าน ซึ่งถือว่าเป็นความผิดเพราะสหรัฐฯใช้มาตรการลงโทษอิหร่านอยู่ในขณะนี้
นอกจากจะเป็นซีเอฟโอของ Huawei แล้ว เมิ่ง ว่านจูยังเป็นบุตรสาวของผู้ก่อตั้ง Huawei อีกด้วย
รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการต่างประทศจีน หลี่ ยู่เชง บอกกับทูตเทอร์รี แบรนด์สตาด ว่าสหรัฐฯได้เเสดงการเรียกร้องที่ไม่สมเหตุสมผล ต่อแคนาดาให้จับกุมตัวผู้บริหาร Huawei รายนี้ ขณะที่เธอเดินทางถึงเมืองเเวนคูเวอร์
รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการต่างประทศจีน หลี่ ยู่เชง บอกกับทูตแบรนด์สตาด ว่า”การกระทำของสหรัฐฯ ฝ่าฝืนอย่างร้ายแรงต่อสิทธิ์ที่พึงมีของประชาชนชาวจีน”
ฝ่ายจีนกล่าวด้วยว่า จะมีการดำเนินการตอบโต้ ตามปฏิกิริยาที่สหรัฐฯมีต่อจากนี้ นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ทางการแคนาดาปล่อยตัวเมิ่ง ว่านจู
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าในช่วงกว่าสองปีที่ผ่านมาสหรัฐฯพยายามสืบว่า Huawei ส่งสินค้าที่มีจุดตั้งต้นอยู่ในสหรัฐฯไปยังอิหร่านและประเทศต้องห้ามอื่นๆหรือไม่
Source: VOA Thai