รายงาน: โอเปกผนึกรัสเซีย ดันราคาน้ำมัน พันธมิตรขั้วใหม่ในวันโดดเดี่ยวมะกัน (จบ) – ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีเป้าหมายให้สหรัฐอเมริกาเป็นมหาอำนาจด้านพลัง งานมาตั้งแต่ต้น และในขณะนี้เป้าหมายดังกล่าวก็กลายเป็นจริงแล้ว ปัจจุบันสหรัฐฯ เป็นผู้ผลิต น้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก (ตามมาด้วยซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย เป็นอันดับ 2 และ 3 ตามลำดับ) แม้ในช่วงที่น้ำมันมีราคาปรับลดลง สหรัฐฯก็ยังคงผลิตน้ำมันออกมา มากขึ้น กระทั่งปลายสัปดาห์ที่แล้ว โอเปกและพันธมิตรนอกกลุ่ม นำโดยรัสเซีย ได้มีข้อตกลงจะลดกำลังการผลิตลงมาเพื่อดันราคาน้ำมันที่ตกต่ำให้สูงขึ้นไป
มีความคาดหมายว่า ราคาน้ำมันดิบโลกอาจจะขยับราคาสูงขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 65-70 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลในปีหน้า (2562) ขณะที่ราคาเฉลี่ยของปี 2561 นี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 64.50 หรือเกือบๆ 65 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ทั้งนี้ ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส (WTI) ของสหรัฐฯอยู่ที่ระดับ 52.61 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้ ซึ่งถ้านับจากต้นปี ราคาเฉลี่ย WTI ปรับลดลงมาแล้ว 8.77%
นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งเชื่อว่าปริมาณน้ำมันจากสหรัฐฯที่ผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้น โดยส่วนใหญ่เป็นน้ำมันดิบที่สกัดจากชั้นหินใต้ดินจะทำให้เกิดการถั่งโถมของอุปทานที่นักวิเคราะห์เรียกว่า “สึนามิของอุปทานน้ำมันโลก” (supply tsunami) ในช่วงต้นปีหน้า และปริมาณการผลิตที่โอเปกและกลุ่มพันธมิตรตกลงกันว่าจะลดลงมานั้นก็เป็นปริมาณที่ไม่เพียงพอที่จะสร้างสมดุลให้เกิดขึ้น
“เห็นได้ชัดว่าผู้ผลิตน้ำมันจากชั้นหินใต้ดินของสหรัฐฯเร่งผลิตกันออกมามากเกินความคาดหมายในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา” โรเบิร์ต แมคนัลลี ประธานบริษัทวิจัยตลาดน้ำมัน แรพพิแดน เอนเนอร์จี กรุ๊ป ให้ความเห็นและตั้งข้อสังเกตว่า นอกจากซาอุดีอาระเบียและรัสเซียแล้ว ประเทศสมาชิกรายอื่นๆ ของโอเปก ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนมากนักว่าจะลดการผลิตเท่าใด ดังนั้น ตลาดน้ำมันโลกในปีหน้าจึงยังมีความเปราะบางและอาจเกิดความผันผวนด้านราคาได้ ปริมาณน้ำมันอาจตึงตัวขึ้นได้หากเกิดเหตุไม่คาดฝันในเวลาพร้อมๆ กันของประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่ยังมีปัญหาวิกฤติภายในประเทศ เช่น ลิเบีย ไนจีเรีย และอิรัก นอกจากนี้ ยังอาจ เกิดความปั่นป่วนในตลาดน้ำมันโลก ได้หากความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างซาอุฯและอิหร่านปะทุขึ้นมา
แม้ว่าขณะนี้ ความเป็นผู้ทรงอิทธิพลของซาอุดิอาระเบียภายในกลุ่มโอเปกจะถูกท้าทายด้วยการประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มของกาตาร์ซึ่งจะมีผลในวันที่ 1 มกราคม 2562 นี้ แต่โดยภาพรวมแล้วซาอุฯก็ยังคุมเกมได้ในระดับหนึ่งโดยได้รับความช่วยเหลือจากรัสเซีย ที่ยินยอมลดกำลังการผลิตร่วมด้วย ทำให้การประชุมลดกำลังการผลิตครั้งล่าสุดของโอเปก มีข้อตกลงเป็นชิ้นเป็นอันออกมาให้ตลาดลดความ กังวลลงได้ในระดับหนึ่ง และมีผลให้ราคาน้ำมันปรับขึ้นเล็กน้อย แต่ก็แสดงให้เห็นถึงบทบาทและอิทธิพลของรัสเซียที่มีต่อกลุ่มโอเปก มากขึ้นด้วยเช่นกัน นักวิเคราะห์กล่าวว่า การยอมร่วมมือลดกำลังการ ผลิตของรัสเซียร่วมกับกลุ่มโอเปก ทำให้รัสเซียได้โอกาสทองที่จะเข้ามามีบทบาทและอำนาจเหนือตลาดน้ำมันโลกเช่นเดียวกับที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯเองก็ต้องการ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า โลกไม่อยากเห็นราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น เขาต้องการให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลงมากกว่านี้เพื่อเป็นเสมือนการลดภาษีให้กับอเมริกาและให้กับโลกด้วย สหรัฐฯเองเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกในปีที่ผ่านมา (2560) โดยมีการนำเข้ารวมคิดเป็นมูลค่า 139,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (รองจากอันดับ 1 คือ จีนที่นำเข้า 162,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ราคาน้ำมันที่ลดลงจะส่งผลดีต่อภาคธุรกิจที่มีต้นทุนเชื้อเพลิงลดลงก็จริงอยู่ แต่ปัจจุบันสหรัฐฯเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่เช่นกัน ดังนั้นในระยะยาว การกดราคาน้ำมันลงมาก็ไม่เป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมพลังงานภายในประเทศของสหรัฐฯเอง รวมทั้งอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง
เบอร์นาร์ด แอล ไวน์สไตน์ ผู้อำนวยการสถาบันพลังงาน แมคไกวเออร์ แห่งมหาวิทยาลัยเซาเธิร์น เมโธดิสต์ ในเมืองดัลลัส สหรัฐอเมริกา ให้ความเห็นว่า มติลดกำลังการผลิตล่าสุดของโอเปกอาจจะทำให้ราคาน้ำมันขยับสูงขึ้น แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะพยากรณ์ราคาน้ำมันล่วงหน้ามากกว่า 1 เดือน ยิ่งผู้นำสหรัฐฯพยายามมาพูดกดดันตลาดและแทรกแซงเศรษฐกิจโลก ก็ยิ่งยากที่จะคาดเดาอะไรได้ล่วงหน้า ยกตัวอย่างเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาทวีตว่า ไม่ต้องการเห็นราคาน้ำมันสูงขึ้น ราคาน้ำมันก็ตกลงมาก “ทรัมป์เป็นปัจจัยที่ยากจะคาดเดา” นักวิเคราะห์กล่าว นอกจากนี้ ยังตั้งข้อสังเกตว่า ราคาน้ำมันมักจะไม่รักษาระดับอยู่ได้นาน เพราะเมื่อกลุ่มโอเปกและพันธมิตร ลดกำลังการผลิตลง สหรัฐฯและประเทศนอกกลุ่ม เช่น บราซิล ก็จะเพิ่มการผลิตของตัวเอง ทำให้ราคาปรับลดลงมาอีก และถ้าหากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ สร้างแรงกดดันทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวในปีหน้า ก็เป็นไปได้อย่างมากที่สุดว่าราคาน้ำมันจะกลับเข้าสู่ขาลงอีกครั้ง
ยิ่งผู้นำสหรัฐฯพยายามมาพูดกดดันตลาดและแทรกแซงเศรษฐกิจโลก ก็ยิ่งยากที่จะคาดเดาอะไรได้ล่วงหน้า
โดย โต๊ะข่าวต่างประเทศ
Source: ฐานเศรษฐกิจ