จีนพลาดท่า เมดอินไชน่า 2025 ไม่ถึงฝัน : ดูเหมือนว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ที่ยืดเยื้อมานานเกือบ 1 ปีเต็ม กำลังใกล้มาถึงบทสรุปเข้าไปทุกขณะแล้ว เมื่อศึกนี้กำลังเดินมาถึง “แก่น” ของเรื่อง อย่างยุทธศาสตร์ “เมดอินไชน่า 2025”
ยุทธศาสตร์นี้นับเป็นหัวใจสำคัญของการปรับโฉมจีนไปสู่ยุคใหม่ เพื่อก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจให้ได้อย่างแท้จริง โดยกำหนดว่าภายในปี 2025 จีนจะหันมาพึ่งพาเทคโนโลยีและวัตถุดิบที่ผลิตเองในประเทศให้ได้ถึง 70% จากเดิมที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ และให้ความสำคัญกับการพัฒนา 10 ภาคอุตสาหกรรมเกิดใหม่ เช่น อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อินเทอร์เน็ต ออฟธิงส์ (ไอโอที) และชีวการแพทย์ ซึ่งนับตั้งแต่ประกาศมาครั้งแรกในปี 2015 จีนก็มักจะย้ำถึงในทุกการประชุมใหญ่สำคัญๆ และให้ความสำคัญกับยุทธศาสตร์นี้มาอย่างต่อเนื่อง
บรรดาชาติตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐ แสดงความเห็นชัดเจนต่อยุทธศาสตร์นี้มาตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่านี่คือ “ภัยคุกคามที่แท้จริงต่อสหรัฐ” เพราะรัฐบาลตะวันตกนั้นไม่มีใครสามารถทุ่มอุดหนุน (Subsidy) การลงทุนมหาศาลแบบรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนได้ และอ้างว่าจีนบังคับให้บริษัทต่างชาติที่ต้องการเข้าไปลงทุนในตลาดจีน ถ่ายโอนเทคโนโลยีให้ผ่านเงื่อนไขต่างๆ อีกทั้งยังขาดการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ในจีน ซึ่งในที่สุดแล้วจะทำให้จีนสามารถบรรลุแผนการนี้ได้ภายใน 10 ปี อย่างที่ตั้งเป้าเอาไว้ และขึ้นมาท้าทายเป็นมหาอำนาจใหม่ที่ไม่ได้มีแค่เงินเพียงอย่างเดียว
ที่ผ่านมา ทั้งสหรัฐและสหภาพยุโรป (อียู) ต่างร้องเรียนปัญหา ดังกล่าวมาโดยตลอด แต่ก็ไม่สามารถกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรได้ จนกระทั่งรัฐบาลประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ เดินเกมใหม่แบบ “นอกกรอบ” อย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ตั้งแต่การประกาศสงครามการค้าที่ขยายวงถึง 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน การกดดันให้บรรดาชาติพันธมิตรของตนเองตั้งป้อมกับไอทีจีน ไปจนถึงการใช้เกมการต่อรองนอกโต๊ะ เช่น กรณีการจับกุมบุตรสาวผู้ก่อตั้งบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ บริษัทเทคโนโลยีเบอร์ 1 ที่เป็นหนึ่งใน ฟันเฟืองหลักของยุทธศาสตร์จีน
ทรัมป์อาจต้องการดีลทางการเมืองที่เหนือกว่าในเชิงตัวเลขเพื่อรักษาฐานเสียง เช่น ข้อตกลงรับซื้อสินค้าเกษตรและพลังงานในปริมาณมหาศาล แต่บรรดาเหล่าสายเหยี่ยวในรัฐบาลทรัมป์เองก็กดดันจริงให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงพื้นฐานไปพร้อมกันด้วย ทั้งการยอมชะลอยุทธศาสตร์ เมดอินไชน่า 2025 และการยอมเปิดตลาดในประเทศอย่างแท้จริงเสียที
วอลสตรีท เจอร์นัล คือ สื่อแรก ที่รายงานว่า นอกจากจีนจะยอมรับซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐล็อตใหญ่ก็ยังเตรียมเปิดตลาดให้ต่างชาติมากขึ้นด้วยการเตรียมประกาศนโยบายสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมมากขึ้นสำหรับรัฐวิสาหกิจ บริษัทเอกชน และบริษัทต่างชาติ เพื่อดึงบริษัทเอกชนต่างชาติเข้าตลาดมากขึ้นแล้ว จีนก็ยังกำลังร่างแผนเศรษฐกิจขึ้นมาใหม่ เพื่อทดแทนเมดอินไชน่า 2025 ด้วย และวางแผนเริ่มใช้นโยบายใหม่ตั้งแต่ปีหน้า
แม้จีนจะไม่มีการออกมาประกาศรับลูกกับข่าวนี้ แต่สื่อหลายสำนักก็เริ่มจับตาสัญญาณที่ออกมาจากจีนว่า กำลังมีบางอย่างเปลี่ยนไปจากเดิม
สื่อทางการจีนอย่างเว็บไซต์ไชน่า อินฟอร์เมชั่น นิวส์ อ้างเอกสารที่คณะรัฐมนตรีของนายกฯ หลี่เค่อเฉียง มอบนโยบายให้รัฐบาลปักกิ่งเป็นประจำทุกปีว่า ปีนี้ปักกิ่งจะมุ่งสนับสนุนรัฐบาลท้องถิ่นที่สามารถส่งเสริมการเติบโตและการยกระดับอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน ซึ่งนับว่าต่างจากการให้นโยบายปี 2016 ที่ขอให้รัฐบาลท้องถิ่นส่งเสริมนโยบายเมดอินไชน่า 2025 พร้อมกับส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมและภาคการผลิต
สื่ออีกหลายสำนัก เช่น บลูมเบิร์กรายงานอ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องออกมาในทิศทางเดียวกันว่า จีนอาจจะต้องยอมชะลอยุทธศาสตร์นี้ออกไปอีกสิบปีเป็น 2035 หลังจากที่ถูกกดดันอย่างหนักหน่วงมาต่อเนื่อง ขณะที่เอเชียไทมส์รายงานว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลจีนเริ่มพิจารณากันจริงจังตั้งแต่ช่วงต้นเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมาแล้วว่า อาจจะต้องยอมชะลอแผนการดังกล่าวออกไป เช่นเดียวกับ โกลด์แมน แซคส์ ที่รายงานตัวเลขเดียวกันปี 2035 โดยอ้างที่ปรึกษาในจีน
ขณะที่ก่อนหน้านี้อีก ก็มีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงในเชิงยอมผ่อนท่าทีเป็นระยะจากทางการจีนเช่นกัน เช่น การลดภาษีรถยนต์นำเข้าจากสหรัฐ และการออกมาตรการปกป้องและลงโทษการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในจีน
ภายใต้สัญญาณที่ทยอยออกมา ต่อเนื่องเช่นนี้ และดูจากการที่สหรัฐเล่นกดดันทั้งในกรอบและนอกกรอบอย่างหนักหน่วง อาจทำให้จีนต้องประกาศยอมถอยอย่างไม่มีทางเลือก ในที่สุดในเร็วๆ นี้
โดย นันทิยา วรเพชรายุทธ
Source: Posttoday