นิตยสารฟอเรน โพลิซี (Foreign Policy) ระบุว่าแม้จะมีการสนับสนุนจากทั้งสองขั้วการเมือง แต่การแยกตัวทางเศรษฐกิจจากจีน “ถือเป็นเรื่องที่ทำได้ยากยิ่ง” สำหรับสหรัฐฯ ซึ่ง จะประสบผลสำเร็จได้ยากกว่าที่หลายฝ่ายในสหรัฐฯ หวังไว้
เจฟฟรีย์ คูซิก รองศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยแอริโซนา (University of Arizona) และราจัน เมนอน ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยซิตี คอลเลจ ออฟ นิวยอร์ก (City College of New York) ระบุว่าแม้จะมีวาทศิลป์ที่นุ่มนวลกว่า แต่ฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ชุดนี้ยังคงเดินตามแนวทางเดิมที่มีต่อจีน ที่ฝ่ายบริหารชุดก่อนหน้าปฏิบัติไว้ กล่าวคือเชื่อว่าสหรัฐฯ ต้องแยกตัวหลีกจากจีนโดยลดการพึ่งพาสินค้าและห่วงโซ่อุปทานจีนด้วยเหตุผลทั้งทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ
“บรรดาผู้วิพากษ์วิจารณ์ด้านการแยกตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหอการค้าสหรัฐฯ เตือนว่าการกระทำเช่นนี้จะขัดขวางห่วงโซ่อุปทานที่มีอยู่ ทำให้การผลิตล่าช้ายิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นการบีบให้บรรดาบริษัทและผู้บริโภคต้องจ่ายเงินมากขึ้น … ความพยายามในการแยกตัวได้ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในสหรัฐฯ แล้ว” รายงานระบุเมื่อวันอังคาร (11 ม.ค.)
“ด้วยเหตุนี้ ไบเดนจึงกำลังเผชิญกับเสียงเรียกร้องอันเร่งด่วนจากบรรดาบริษัทสหรัฐฯ ให้ยุติการเก็บภาษีที่เกิดขึ้นในยุคทรัมป์” รายงานระบุ
แหล่งที่มาของข่าว
https://www.moneyandbanking.co.th/article/news/usa-china-economy-15012022