ธนาคารยูบีเอสซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ เปิดเผยกำไรสุทธิลดลง 52% ในไตรมาส 1/2566 เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 1.03 พันล้านดอลลาร์ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.75 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากธนาคารต้องกันเงินสำรองมูลค่า 665 ล้านดอลลาร์เพื่อยุติคดีความที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) ในสหรัฐ ซึ่งการจำหน่ายตราสารดังกล่าวเป็นต้นเหตุของการเกิดวิกฤตการเงินโลก
ทั้งนี้ การเปิดเผยผลประกอบการในวันนี้ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ยูบีเอสเข้าเทกโอเวอร์กิจการธนาคารเครดิต สวิส
ส่วนรายได้ในไตรมาส 1/2566 อยู่ที่ 8.75 พันล้านดอลลาร์ ลดลงเมื่อเทียบกับระดับ 9.38 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 1/2565 ขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอยู่ที่ 7.2 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากระดับ 6.6 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 1/2566
นอกจากนี้ ยูบีเอสระบุว่า อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (CET 1 capital ratio) ซึ่งเป็นมาตรวัดความสามารถในการชำระหนี้ อยู่ที่ระดับ 13.9% ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2565 ซึ่งอยู่ที่ 14.1%
เมื่อวันที่ 20 มี.ค.ที่ผ่านมา ยูบีเอสบรรลุข้อตกลงซื้อกิจการธนาคารเครดิต สวิสในวงเงิน 3 พันล้านฟรังก์สวิส (3.23 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยหน่วยงานฝ่ายกำกับดูแลด้านการเงินของรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ได้เข้ามามีส่วนในการทำข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์นี้
อย่างไรก็ดี ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว ตราสารทางการเงินที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Additional Tier 1) หรือ AT1 ของธนาคารเครดิต สวิส ซึ่งระบุมูลค่าหน้าตั๋วไว้ที่ 1.6 หมื่นล้านฟรังก์สวิส (1.735 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) จะถูกตัดมูลค่าลงเหลือศูนย์ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ถือ AT1 ของเครดิต สวิส
รายงานล่าสุดระบุว่า กลุ่มผู้ถือ AT1 ของเครดิต สวิส ได้ยื่นฟ้องร้องเพื่อดำเนินคดีกับหน่วยงานกำกับดูแลภาคธนาคารของสวิตเซอร์แลนด์ (Finma) หลังจาก Finma ได้ตัดมูลค่า AT1 ของธนาคารเครดิต สวิส ลงเหลือศูนย์ โดยกลุ่มผู้ถือ AT1 ระบุว่าการดำเนินการดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย พร้อมกับมอบหมายให้บริษัทกฎหมาย Quinn Emanuel Urquhart & Sullivan ยื่นฟ้องต่อศาลในเมืองเซนต์กัลเลนของสวิตเซอร์แลนด์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (19 เม.ย.)
แหล่งที่มาของข่าว…