เงินปอนด์ร่วงลงอย่างหนักเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (10 ธ.ค.) หลังจากนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ตัดสินใจเลื่อนการลงมติในรัฐสภาอังกฤษต่อร่างข้อตกลงการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยไม่มีกำหนด
เงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.2557 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2751 ดอลลาร์ ขณะที่ยูโรอ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.1352 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1421 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.7185 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7209 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 113.20 เยน จากระดับ 112.64 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3411 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3282 ดอลลาร์แคนาดา แต่ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9897 ฟรังก์ จากระดับ 0.9892 ฟรังก์
เงินปอนด์ร่วงลงอย่างหนัก หลังจากนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ออกแถลงการณ์ต่อสภาสามัญชนของอังกฤษเมื่อวานนี้ โดยระบุว่า รัฐบาลได้ตัดสินใจเลื่อนการลงมติในรัฐสภาต่อร่างข้อตกลงการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) อย่างไม่มีกำหนด
ทั้งนี้ สภาสามัญชนของอังกฤษมีกำหนดลงมติในวันนี้ต่อร่างข้อตกลง Brexit ที่นางเมย์ทำไว้กับสหภาพยุโรป (EU) ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ดี นางเมย์ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่บ้านพักนายกรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ เพื่อหารือการชะลอการลงมติดังกล่าวโดยไม่มีกำหนด เพื่อให้รัฐบาลมีเวลาในการชี้แจงทำความเข้าใจต่อสมาชิกสภาสามัญชนของอังกฤษจำนวนมากที่ยังคงมีท่าทีไม่เห็นด้วยต่อร่างข้อตกลงดังกล่าว
มีการคาดการณ์ในวงกว้างว่า ร่างข้อตกลง Brexit ของนางเมย์จะถูกคว่ำกลางสภา หากมีการลงมติในวันนี้
นางเมย์กล่าวว่า ถึงแม้ร่างข้อตกลงดังกล่าวได้รับเสียงสนับสนุนในวงกว้าง แต่กรณีของไอร์แลนด์เหนือยังคงเป็นประเด็นที่สร้างความวิตก และนางเมย์จะทำการเจรจาครั้งใหม่ต่อข้อตกลง Brexit กับทาง EU
ส่วนยูโรอ่อนค่าลงท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจในยูโรโซน โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติของเยอรมนี (Destatis) เปิดเผยว่า ยอดเกินดุลการค้าของเยอรมนีปรับตัวลดลงสู่ระดับ 1.73 หมื่นล้านยูโร (1.968 หมื่นล้านดอลลาร์) ในเดือนต.ค. จากระดับ 1.77 หมื่นล้านยูโรในเดือนก่อนหน้า เนื่องจากยอดนำเข้าขยายตัวมากกว่ายอดส่งออก
ทั้งนี้ ยอดส่งออกเดือนต.ค. ขยายตัว 0.7% จากเดือนก.ย. ซึ่งน้อยกว่ายอดนำเข้าที่ขยายตัว 1.3% ในช่วงเวลาเดียวกัน
นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 18-19 ธ.ค. โดยมีการคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 4 สำหรับปีนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้เช่นกัน ซึ่งได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (PPI) เดือนพ.ย., อัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดค้าปลีกเดือนพ.ย., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนธ.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนธ.ค.จากมาร์กิต และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนต.ค.
อ่านต่อได้ที่ : https://www.ryt9.com/s/iq21/2926556