ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในวันนี้ โดยล่าสุดทะยานขึ้นมากกว่า 600 จุด หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และเฟดพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงแผนการปรับลดงบดุล
นอกจากนี้ ตลาดวอลล์สตรีทยังได้รับปัจจัยหนุนจากการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐ และการผ่อนคลายความวิตกเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งได้ปัจจัยบวกจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
ณ เวลา 22.31 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 23,311.75 จุด เพิ่มขึ้น 625.53 จุด หรือ 2.76%
นายพาวเวลกล่าวว่า เฟดจะใช้ความอดทนต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นอกจากนี้ นายพาวเวลยังระบุว่า เฟดจะไม่ลังเลที่จะเปลี่ยนแปลงแผนการปรับลดงบดุล ถ้าหากว่าการดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน
ทั้งนี้ นายพาวเวลกล่าวในการเสวนาในวันนี้ร่วมกับ 2 อดีตประธานเฟด คือ นางเจเน็ต เยลเลน และนายเบน เบอร์นันเก้ ในการประชุมประจำปีของสมาคมเศรษฐกิจอเมริกันที่รัฐแอตแลนตา
นักลงทุนคาดหวังว่านายพาวเวลจะบ่งชี้การใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย หลังจากที่เขาสร้างความตื่นตระหนกต่อตลาด ด้วยการระบุก่อนหน้านี้ว่า เฟดจะเดินหน้าการปรับลดงบดุล โดยจะปล่อยให้หลักทรัพย์หรือตราสารหนี้ที่เฟดถือครองอยู่ครบกำหนดอายุโดยไม่มีการนำเม็ดเงินไปซื้อหลักทรัพย์ใหม่
ตลาดการเงินมีความกังวลว่าเฟดกำลังดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด โดยใช้นโยบายที่เข้มงวดเกินไป ท่ามกลางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
ทั้งนี้ เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีที่แล้ว และส่งสัญญาณปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในปีนี้
อย่างไรก็ดี นักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาสไม่ถึง 10% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
ทางด้านนางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟด สาขาคลีฟแลนด์ กล่าวว่า เฟดควรยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ถ้าหากอัตราเงินเฟ้อไม่ได้ดีดตัวขึ้น
นางเมสเตอร์กล่าวก่อนหน้านี้ว่า เฟดไม่มีการกำหนดเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยไว้ล่วงหน้า แต่จะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่เฟดได้รับ
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนธ.ค. โดยเพิ่มขึ้น 312,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 177,000 ตำแหน่ง
ส่วนอัตราการว่างงานดีดตัวสู่ระดับ 3.9% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะทรงตัวที่ระดับ 3.7% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 49 ปี
ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 11 เซนต์ หรือ 0.4% ในเดือนธ.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.3% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ย.
เมื่อเทียบรายปี ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงานพุ่งขึ้น 3.2% จากระดับ 3.1% ในเดือนพ.ย.
ทั้งนี้ ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ
กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ทบทวนปรับเพิ่มตัวเลขการจ้างงานในเดือนพ.ย. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 176,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 155,000 ตำแหน่ง และทบทวนปรับเพิ่มตัวเลขจ้างงานในเดือนต.ค. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 274,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 237,000 ตำแหน่ง
กระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่าในเดือนธ.ค. ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 301,000 ตำแหน่ง ขณะที่ภาครัฐจ้างงานเพิ่มขึ้น 11,000 ตำแหน่ง
ส่วนตัวเลขอัตราการเข้าสู่ตลาดแรงงานของสหรัฐ ซึ่งแสดงสัดส่วนของกำลังแรงงานต่อจำนวนประชากรทั้งหมด เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 63.1%
เมื่อพิจารณาทั้งปี 2561 สหรัฐมีการจ้างงานนอกภาคเกษตรรวม 2.6 ล้านตำแหน่ง ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2558 และสูงกว่าระดับ 2.2 ล้านตำแหน่งในปี 2560
ทางด้านกระทรวงพาณิชย์จีนออกแถลงการณ์ยืนยันว่า คณะผู้แทนของรัฐบาลสหรัฐจะเดินทางเยือนกรุงปักกิ่งในวันที่ 7-8 ม.ค.เพื่อเจรจาการค้ากับเจ้าหน้าที่ของจีน
การประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่ายจะเป็นการเจรจาแบบหน้าต่อหน้าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ตกลงที่จะสงบศึกการค้าชั่วคราวเป็นเวลา 90 วันเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา
แถลงการณ์จากกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า นายเจฟฟรีย์ เกอร์ริช รองผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) จะนำคณะผู้แทนจากสหรัฐเยือนจีนในวันที่ 7-8 ม.ค. โดยรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์จากทั้งสองฝ่ายได้สนทนาทางโทรศัพท์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และจะมีการหารือเกี่ยวกับความพยายามในการบรรลุข้อตกลงเพื่อแก้ไขปัญหาข้อพิพาททางการค้า ต่อจากที่เจรจากันไว้นอกรอบการประชุม G20 ที่อาร์เจนตินา
อ่านต่อได้ที่ : https://www.ryt9.com/s/iq18/2936596